ยุคใหม่ค้าปลีก! บิ๊กซี นำร่องใช้ GIS-AI จาก Esri Thailand พัฒนา ‘Retail Delivery Hub’ ยกระดับบริการลูกค้า

บิ๊กซี ผู้นำธุรกิจค้าปลีก เดินหน้าพลิกโฉมอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว ด้วยการผนึกกำลังกับ Esri Thailand ผู้นำระดับโลกด้านแพลตฟอร์ม Location Intelligence และบริษัท จีไอเอส จำกัด ในกลุ่ม CDG พัฒนาโมเดล “Retail Delivery Hub” โดยผสานเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว นวัตกรรมนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้กว่า 12 ล้านบาทต่อปี แต่ยังเพิ่มความพึงพอใจลูกค้ากว่า 50% และหนุนยอดขายออนไลน์เติบโตต่อเนื่องถึง 25% ต่อปี ตอกย้ำภาพลักษณ์องค์กรยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง
นายสุรชัย หิรัญนิธิชัย รองประธานกรรมการบริหารคนที่ 1 ฝ่ายดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี เปิดเผยว่า บิ๊กซี มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกแห่งอนาคต ด้วยการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) ผสานกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาขับเคลื่อนการบริหารจัดการด้านการขนส่งและการบริการลูกค้าให้แม่นยำ รวดเร็ว และคุ้มค่า นับเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์องค์กรที่ทันสมัยและยึดหลัก “ข้อมูลจริง” ในการวางกลยุทธ์ ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จในการคว้ารางวัล AIBP ASEAN Enterprise Innovation Award สะท้อนให้เห็นถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม
ความร่วมมือครั้งสำคัญนี้ เกิดขึ้นจากการผนึกกำลังระหว่าง บิ๊กซี กับ บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำระดับโลกด้านแพลตฟอร์ม Location Intelligence และ บริษัท จีไอเอส จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ในกลุ่มบริษัทซีดีจี ทั้งสามฝ่ายได้ร่วมกันพัฒนาโมเดล “Retail Delivery Hub” โดยใช้ซอฟต์แวร์ ArcGIS Business Analyst เพื่อออกแบบและบริหารพื้นที่ให้บริการ E-commerce ของสาขา BigC HyperMarket อย่างมีประสิทธิภาพ
“Retail Delivery Hub”: นวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจ ประหยัด 12 ล้านบาท/ปี
โมเดล “Retail Delivery Hub” ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อวิเคราะห์คำสั่งซื้อและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการจัดส่งสินค้า โดยใช้ข้อมูลคำสั่งซื้อที่มีอยู่ร่วมกับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Spatial analysis) มาประยุกต์ใช้กับขั้นตอนปฏิบัติงานด้านการจำหน่าย การจัดเตรียม และการจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าที่ใช้บริการสั่งซื้อผ่าน BigC Plus Application และ Call Chat Shop จากสาขาที่ให้บริการ รวมถึงสาขาใกล้เคียง ซึ่งส่งผลให้ บิ๊กซี สามารถลดต้นทุนการขนส่งได้มากกว่า 12 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ยังช่วยยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าที่ใช้บริการกับบิ๊กซีได้สูงขึ้นกว่า 50% และเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจในด้านต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด:
- ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย: ลดการจัดสรรพื้นที่บริการที่ไม่ซ้ำซ้อน และลดระยะทางเฉลี่ยในการขนส่งจากจุดจัดส่งสินค้า ส่งผลให้ประหยัดค่าเช่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าแรง และเวลาได้อย่างชัดเจน
- บริหารทรัพยากรอย่างแม่นยำ: การคำนวณระยะทางอย่างแม่นยำจากหลัก Trade Zone ที่วางตามศักยภาพของแต่ละสาขา โดยแพลตฟอร์มระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ArcGIS สามารถแสดงผลข้อมูลเป็น Heatmap ระบุจุดหนาแน่นคำสั่งซื้อ พร้อมจัดโซนให้เหมาะกับความสามารถในการรองรับของแต่ละฮับที่กระจายจัดส่งสินค้า ช่วยให้การวางแผนและดำเนินงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- ส่งเสริมความยืดหยุ่น รองรับการปรับแผนการดำเนินงาน: โซลูชันส์ของเทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบให้สามารถ Re-Optimize ได้ตลอดเวลา (Real Time) ตามปริมาณคำสั่งซื้อ หรือการเปลี่ยนแปลงเชิงประชากร รองรับการปรับเปลี่ยนแผนงาน ตลอดจนส่งเสริมการวางแผนขยายฐานลูกค้าในอนาคตได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ความสำเร็จสู่รางวัลระดับอาเซียน: ต่อยอดนวัตกรรมระยะยาว
นางสาวแพร พันธุมวนิช ประธานบริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของการประยุกต์ใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ร่วมกับ AI และเทคโนโลยีอื่นๆ อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านการลดต้นทุนขนส่ง การวางแผน Trade Zone และการยกระดับคุณภาพบริการ ด้วยซอฟต์แวร์ ArcGIS ที่ผสานกับเทคโนโลยีต่างๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของเราที่มุ่งส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน และเชื่อมั่นว่าความสำเร็จในครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของการต่อยอดนวัตกรรมร่วมกันในระยะยาว”
จากความมุ่งมั่นในการปรับตัวของธุรกิจและความสำเร็จที่เกิดขึ้นภายในองค์กร นำไปสู่การยอมรับจากเวทีระดับอาเซียน ด้วยการคว้ารางวัล ASEAN Enterprise Innovation Award ซึ่งถือเป็นข้อพิสูจน์ว่า บิ๊กซี ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีเพียงเพื่อ “ตามเทรนด์” แต่เพื่อสร้างความแตกต่างที่จับต้องได้ ทั้งด้านการดำเนินธุรกิจและประสบการณ์ของลูกค้าในทุกๆ Touchpoint โดยเฉพาะการยกระดับแพลตฟอร์ม Big C Plus Application ซึ่งภายหลังการเปิดตัวและพัฒนาแอพพลิเคชันดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์เติบโตต่อเนื่องมากกว่า 25% ต่อปี